Wednesday, August 19, 2009

คนถาม พระตอบ

อยากบอกโยมว่า

1.
ความคิดว่า "พระคือผู้ละแล้วซึ่งกิเลส" "ตัดแล้วซึ่งทางโลก" คำพูดเหล่านี้โยมพูดเองเออเอง ทั้งนั้น ที่จริงต้องบอกว่า "พระคือ ผู้บวชเพื่อฝึกตนเองตามหลักคำสอนตามพระพุทธศาสนา บวชแล้วมีหน้าที่อุทิศให้เป็นประโยชน์แก่ชาวโลก (จะระถะ ภิกขะเว พะหูชะนะหิตายะ พะหุชะนะสุขายะ โลกานุกัมปายะ = ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงท่องเที่ยวไป เพื่อบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่ชนหมู่มาก เพื่อความสุขของชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก)" ไม่ได้ให้บวชมาเฝ้าโบสถ์ เฝ้าศาลา นั่งหลับตา บอกใบ้ให้หวยดูดวง อาตมาเองก็แปลกใจ เวลาอาตมาชวนโยมมาฟังเทศน์โยมบอกว่า งานยุ่งไม่มีเวลาไปวัด น่าเบื่อ แต่พอเวลาอาตมาบอกจะดูดวงให้ โยมผู้หญิงที่ว่าโดนพระไม่ได้เห็นพุ่งเข้าหาจนอาตมาหลบแทบไม่ทัน (แบบว่าอยากรู้เรื่องเนื้อคู่อะ..... ที่เรื่องไม่ใช่กิจสงฆ์อย่างนี้ Request จากพระจัง)


2.
"เมื่อบวชแล้ว พระต้องสละเรื่องทางโลกทุกอย่าง" นี่โยมก็พูดเองเออเอง อีกนั่นแหละ พระยังเป็นลูกของพ่อแม่ เป็นพี่ของน้องๆ และเป็นลูกหลานของญาติทุกคน ยังต้องสงเคราะห์ดูและญาติพี่น้องตามสมควร ขนาดหมาขี้เรื้อนโยมเอามาปล่อยที่วัด พระยังเลี้ยงให้ ใจคอจะให้ละทางโลกที่มีพ่อแม่พี่น้องอยู่ข้างหลังเชียวหรือ


3.
โยมรู้หรือไม่ว่า พระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระดูแลพ่อแม่ที่แก่ชราได้ ไม่ได้สอนให้ละทางโลกโดยสิ้นเชิงหรอกนะ


4.
อยากบอกว่า ฉันนับถือเฉพาะพระพุทธ กับพระธรรมเท่านั้น ไม่นับถือพระสงฆ์ โยมเข้าใจผิดแล้ว พระสงฆ์ที่อยู่ในพระรัตนตรัยนั้น คือ อริยสงฆ์ หรือใครก็ตาม(ทั้งบรรพชิตและฆราสวาส)ที่เป็นพระอรหันต์ โยมจำบทสวดมนต์ได้มั๊ย "สุปฏิปันโน สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ = ข้าพเจ้าของแสดงความนอบน้อม แด่พระสงฆ์สาวก ผู้ปฏิบัติดี" อาตมาเป็นสมมติสงฆ์ก็ต้องเคารพบูชาท่าน เอาท่านเป็นแบบอย่างเหมือนกัน ที่โยมคิดแบบนั้นเป็นเพราะโยมอาจทำบุญเยอะ แต่ศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะน้อยต่างหาก ลองศึกษาธรรมะเยอะๆ ปฏิบัติธรรมเยอะๆสิ โยมจะเข้าใจสัจธรรมข้อนี้เอง


5.
พระพุทธเจ้าสอนว่า "เจตนาหัง ภิกขะเว กัมมัง วะทามิ ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม" การที่โยมเผลอไปแตะพระโดยไม่ตั้งใจไม่มีใครบาปหรอก ทั้งโยมและพระ แต่ถ้าใครกระทำโดยมีเจตนาถึงจะเป็นบาป


6.
พระที่โยมเห็นมาจากไหนละ....ตอบ...ก็มาจากชาวบ้านนั่นแหละ พระดีก็มาจากโยมที่ดี พระที่ไม่ดีก็มาจากโยมที่ไม่ดี ถ้าโยมอยากได้พระดี โยมก็เอาลูกหลานที่ดีมาบวชเยอะๆสิจ๊ะ จะได้มีพระที่ดีเยอะ ๆ รู้มั๊ย โยมหลายคนกำลังทำให้วัดเป็นที่ทิ้งขยะสังคม หมาแมวที่โยมไม่อยากเลี้ยงโยมก็เอาทิ้งวัด ลูกหลานติดยาเสพติด เกเร เป็นอันธพาล อาชญากร โยมก็เอาทิ้งวัด ถ้าโยมไม่อยากไหว้พระเลว ก็อย่าเอาเขามาบวชเลย โยมเป็นพ่อแม่พี่น้องเป็นญาติเขายังไม่อยากให้เขาอยู่บ้านเลย ยังสอนเขาไม่ได้ อาตมาสอนเขาจะฟังเหรอ


7.
พระไม่ได้บวชมาเพื่อหลับตานั่งสมาธิ เฝ้าวัด อย่างเดียวหรอกนะ พระพุทธเจ้าบอกว่าหน้าที่พระมี 2 อย่าง :


(1.) คันถธุระ มีหน้าที่ศึกษาคำสอนพระพุทธเจ้า สืบทอดอายุพระศาสนา ประกาศพระศาสนา รักษาศาสนวัตถุของพระศาสนา บริหารกิจการคณะสงฆ์ คุ้มครองพระดี กำจัดพระเลว คอมพิวเตอร์มีส่วนช่วยในการจัดทำเอกสาร สร้างสื่อการสอนพระพุทธศาสนา บันทึกข้อมูล และงานเอกสารอื่นๆ โยมเคยเข้าเว็บไซต์ของวัดต่างๆมั๊ย โยมเคยเห็น CAI เกี่ยวการสอนธรรมมะมั๊ย โยมเคยเห็นมั๊ยว่า เบื้องหลังพระผู้ใหญ่จะมีพระหนุ่มเณรน้อยกลุ่มหนึ่งทำงานเป็น STAFF คอยจัดทำเอกสาร หนังสือ บันทึก ประกาศ ทำต้นฉบับหนังสือธรรมะ ทำ Powerpoint เวลามีงานประชุม สัมมนาทางพระพุทธศาสนา อยากบอกเลยว่า ทำไมสมัยพุทธกาล ไม่มีคอมพิวเตอร์ ก็ยังประกาศพระศาสนาได้ ก็ใช่สิจ๊ะ สมัยพระพุทธเจ้า ทุกเย็นหลังรับประทานอาหารเย็นแล้ว ชาวบ้านจะพากันถือดอกไม้ธูปเทียนไปฟังธรรมเทศนา ไปคุยธรรมะกับพระที่วัด วันนี้ละ โยมจะได้มั๊ยว่า เดือนหนึ่งมีวันพระกี่วัน ครั้งล่าสุดที่โยมฟังเทศน์ที่วัดนั้น นานแค่ไหนแล้ว

( 2.) วิปัสสนาธุระ = พระมีหน้าที่ปฏิบัติธรรม เพื่อหลุดพ้นจากกิเลส เพื่อยืนยัน ใครก็ตามเมื่อปฏิบัติตามคำสอนจะได้รับผลจากการปฏิบัติจริง
ทั้งสองอย่างต้องไปด้วยกัน นั่งหลับตาอยู่ในวัดอยู่ในป่าอย่างเดียวรักษาพระศาสนาไว้ไม่ได้ ศึกษาแต่คำสอนอย่างเดียว ไม่ปฏิบัติตามก็รักษาไว้ไม่ได้ ต้องทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป


8.
สถาบันศาสนาก็เป็นส่วนย่อยของสังคมไทย เช่นเดียวกับสถาบันครอบครัว ข้าราชการ การเมือง สังคมไทยมีทั้งคนดีและคนไม่ดี สถาบันศาสนาก็เหมือนกันมีทั้งพระดีและพระไม่ดี พระพุทธเจ้าสอนว่า นิคคัณหะ นิคคัณหาระหัง ปัคคัณหะ ปัคคัณหาระหัง (ข่มผู้ที่ควรข่ม ยกย่องผู้ที่ควรยกย่อง) ทำไมโยมไม่แยกแยะละว่า ถ้าท่านไปพันธ์ทิพย์เพื่อซื้อคอมพิวเตอร์เพื่อใช้เป็นสื่อในการเผยแผ่พระศาสนาก็ควรส่งเสริมท่าน แต่ถ้าท่านไปเพื่อไปซื้อหนังโป๊ ไปเดินตากแอร์ ไปหลีหญิง เช่นนั้นก็สมควรติเตียน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องแยกแยะ ไม่ควรเหมารวม


9.
อยากบอกนะ ไม่ว่าอาตมาจะเดินพันธ์ทิพย์หรือที่ไหนก็ตาม อาตมาระวังมาก ถึงมากสุดๆ เพราะว่า เวลาโยมเดินกันนะโยมเดินเหมือนเหม่อลอยไม่ตั้งสติกันเลย ราวกับไม่เอาวิญญาณมาด้วย บางทีโยมเดินตามทางเดิน โยมเดินแบบหน้ากระดานเรียงสาม เรียงสี่กันทอดน่อง ลอยชาย แบบไม่คิดกันว่าจะมีคนอื่นๆ เช่น พระ หรือคนอื่นๆเขาจะรีบเดิน คิดอยู่ในใจนะว่าน่าจะจับโยมเหล่านี้ไปเข้าคอร์สวิปัสสนาซัก 7 วัน จะได้รู้ว่าเวลาโยมเดินนั้นขาดสติขนาดไหน (เหมือนไม่ได้เอาวิญญาณมาด้วยเลยอะ) อาตมาไปพันทิพย์นะไม่ได้รู้สึกว่าสนุกอย่างที่โยมคิดหรอกนะ เพราะต้องคอยหลบโยมกลัวเดินชน


10.
อยากบอกโยมว่า อาตมามีหน้าที่รักษาพระศาสนาให้ครบห้าพันปีตามพุทธทำนาย โบสถ์ ศาลา กุฎิ จตุปัจจัย อาหารบิณฑบาตที่โยมถวายมาพอแล้ว พระศาสนาไม่ได้มั่นคงเพราะสิ่งที่โยมถวายหรอก แต่มันอยู่ที่ชาวพุทธหันมาศึกษาและปฏิบัติธรรมการมากกว่า จิงป๊ะ โยมอาจจะบอกว่า ก็ตาแก่ยายแก่งัย โธ่ถังโยมเอ่ย ตายายแกจะตายวันตายพรุ่งอยู่แล้ว ตัวแกยังจะเอาตัวไม่รอด จะให้รักษาพระศาสนาหรือ ? มันต้องรุ่นลูกหลานอย่างเราสิถึงจะมีกำลังจิงม๊ะ ถ้าโยมมาจริงให้สอนจนตายไปข้างนึงก็ยอม ไม่เชื่อไปถามพระที่ท่านทำงานเผยแผ่ดูสิ (เก่งจิงไม่กลัว กลัวโยมใจไม่ถึงมากกว่า)


11.
โยมหลายท่านบอกว่า "เป็นพระควรอยู่ที่วัดเท่านั้น ไม่ควรไปเดินเพ่นพ่านข้างนอกมันเป็นที่ของโยม" ไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องเลย โยมรู้หรือไม่ว่า สมัยพระพุทธกาล พระไม่เคยอยู่กับที่เลย ต้องจาริกไปสั่งสอนตามที่ต่าง พระพุทธเจ้าให้ออกไปประกาศพระศาสนาให้เข้าไปในสังคมโลก ไปสอนคนให้ทวนกระแสโลก สอนให้เผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุก เพื่อให้โยมทั้งหลายเห็นว่า วิถีชีวิตที่ประเสริฐมีอยู่ วิถีแห่งการฝึกตนเองเพื่อพ้นทุกข์มีอยู่ แบบอย่างที่ดีงาม ไม่ได้สอนให้อยู่ที่วัดแล้วรอโยมมาหา ทำตัวเป็นเจ้าพิธีกรรม บอกใบ้ให้หวย ถ่มน้ำหมากขากน้ำมนต์ สร้างพระเครื่อง แต่โยมชอบจัง กระพี้คำสอนเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่พระพุทธเจ้าติเตียนว่าเป็นการหลอกลวงชาวโลกให้งมงาย ส่วนที่พระพุทธเจ้าสั่งให้อยู่ที่วัดนั้นก็คือช่วงสามเดือน ตอนเข้าพรรษาเท่านั้น ดังนั้น ความคิดของโยมที่ว่า พระดีควรหมกตัวอยู่ จึงสวนกระแสพุทธดำรัสโดยสิ้นเชิง นั่นเป็นเพียงภาพลักษณ์ของพระในอุดมคติของโยมที่ละม้ายคล้ายพุทธรูปในโบสถ์เข้าไปทุกที


12.
พระเลวไม่ได้มีแต่ในสมัยนี้หรอก สมัยพระพุทธเจ้าก็มี โยมอาจจะฮือฮาโกลาหลเวลาเห็นพระก่อคดีสะเทือนศรัทธา โยมรู้มั๊ยว่า ศีล 227 ข้อของพระนะมาจากการก่อคดีสะเทือนศรัทธาทั้งนั้น พระพระพุทธเจ้าจะเรียกพระเหล่านั้นมาสอบสวนและบัญญัติห้าม เป็นสิกขาบทให้พระรุ่นหลังอย่าได้เอาเยี่ยงอย่าง ฆ่าคน ดื่มเหล้า เคล้าสีกา เคยเกิดมาแล้วในสมัยพระพุทธเจ้าแล้วทั้งนั้น ขนาดพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ มีพระอรหันต์ พระ และฆราวาสที่บรรลุธรรมมากมาย สิ่งเหล่านั้นก็ยังเกิดขึ้น อย่างว่า คนดีจะเป็นพระหรือเป็นโยม ก็เป็นคนดี คนชั่วจะเป็นพระหรือเป็นโยม ก็เป็นคนชั่ว หากเขาไม่กลับใจ ให้เขาไปบวชกับพระพุทธเจ้าสักร้อยพรรษาก็เป็นคนดีไม่ได้หรอก นั่นเป็นเพราะโยมไม่เคยศึกษาพระวินัยของพระต่างหาก จึงเหมาว่าพระสมัยนี้มีแต่เลวๆ


13.
อย่าเอาพระทำชั่ว มาเป็นข้ออ้างเลยว่า ฉันจะเลิกทำบุญแล้ว ฉันจะเลิกนับถือพุทธศาสนาแล้ว เลิกนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว พระพุทธเจ้าสอนว่า คนดีย่อมเอาคนชั่ว เป็นข้ออ้างในการละชั่วทำดี คนชั่ว ย่อมเอา คนชั่วเป็นข้ออ้างละดี ทำชั่ว


*** ขอความเจริญในธรรม จงมีแก่ทุกท่าน เทอญ ***
คัดลอกบางส่วนจาก....
http://www.mahamodo.com/webboard_others/dharma/viewquestion.asp?id=51&pageNo=1&ip=61.90.17.26

from forward mail


Reblog this post [with Zemanta]

Macross Variable Fighters

https://youtu.be/ZByNgWBYhUY